วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

หลักการใช้ Present Perfect Continuous Tense


หลักการใช้  Present Perfect Continuous Tense



Present Perfect Continuous Tense (Tense ปัจจุบันสมบูรณ์กำลังทำ)
Present  เพร๊เซินท= ปัจจุบัน
Perfect เพอเฟ็คท = สมบูรณ์
Continuous คอนทินิวอัส = ต่อเนื่อง
หลักการใช้
    ใช้เหมือนกับ present perfect tense  ข้อที่ 1 เท่านั้น  (เหตการณ์ที่เกิดในอดีต ดำเนินมาถึงปัจจุบัน และต่อเนื่องไปในอนาคต) ทุกประการ แต่เป็นการเน้นว่าทำต่อเนื่อง
    กริยาที่นำมาเติม ing ให้อ้างอิง present continuous tense ทุกประการเหมือนกัน
ตัวอย่าง เปรียบเทียบระหว่าง present perfect กับ present perfect continuous เพื่อให้เห็นความแตกต่าง
He’s worked in the garden since 8 o’clock.
เขาทำงานในสวนตั้งแต่ 8 โมงเช้า (อาจจะทำบ้าง นั่งพักบ้าง แต่ว่าเริ่มทำตั้งแต่ 8 โมง)
He’s been working in the garden since 8 o’clock.
เขาทำงานในสวนตั้งแต่ 8 โมงเช้า (ทำแบบไม่หยุดพักเลย ตั้งแต่ 8 โมงเรื่อยมา แบบว่าขยันมากๆ)
It has rained for three hours.
ฝนตกเป็นเวลา 3 ชั่วโมง (ประโยคนี้เป็นแบบธรรมดา ไม่เน้น)
It has been raining for three hours.
ฝนตกเป็นเวลา 3 ชั่วโมง  (ประโยคนี้ผู้เขียนอยากให้เห็นภาพว่า ฝนตกแบบไม่ขาดสายต่อเนื่องมาจนบัดนี้)
A boy has played football since 3 o’clock.
เด็กชายเล่นฟุตบอลตั้งแต่ 3 โมง (เล่นไป พักไปถ้าเหนื่อย)
A boy has been playing football since 3 o’clock.
เด็กชายเล่นฟุตบอลตั้งแต่ 3 โมง (วิ่งอยู่ในสนามตลอด เหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย)
I’ve  read this book for two hours.
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้สองชั่วโมงแล้ว (อ่านไป กินกาแฟไป ปวดฉี่ก็ไปห้องน้ำ)
I’ve been reading this book for two hours.
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้สองชั่วโมงแล้ว (อ่านอย่างเดียวไม่วางมือไปทำอย่างอื่นเลย แบบว่าสนุกจนวางไม่ลง)

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแล้วคงเข้าใจนะครับว่าความแตกต่างคือ ถ้าใช้ Present Perfect Continuous Tense หมายความว่า ทำแบบไม่หยุดพักนั่นเอง (ที่จริงอาจพักบ้างก็ได้ แต่คนเขียนเขาต้องการเน้นแค่นั้นเอง)

Time Line เส้นเวลา


timeline present perfect continuous tense

มาดูไทม์ไลน์กันดูซิ ทีบอกว่า tense นี้ใช้บอกกล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ดำเนินมาถึงปัจจุบัน(อย่างต่อเนื่อง) และน่าจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต เป็นอย่างไรกัน
   - สีดำคือ อดีตที่หมองหม่น
   - สีส้มคือปัจจุบันที่สดใส
   - สีชมพู คือ อนาคตที่เรืองรองผ่องอำไพ
   - ลูกศรสีขาวไซร้คือเหตุการณ์
   - เส้นทึบสีเหลืองคือระยะเวลาที่เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว
   - เส้นทึบสีเหลืองคือระยะเวลาที่คาดว่าเหตุการณ์จะดำเนินต่อไป
จาก ภาพสามารถอธิบายได้ว่า มีเหตการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในอดีต (เส้นทีบสีขาว) และก็ดำเนินมาถึงปัจจุบัน (ลูกศรสีขาว) และคงจะดำเนินต่อไปในอนาคต (เส้นทีบสีเหลือง)   คล้ายกับ present perfect continuous tense เลยครับ แต่ที่ต่างกันคือเส้นเวลาใหญ่ขึ้น เพื่อบ่งบอกว่าการกระทำนั้นต่อเนื่อง แค่นั้นจริงๆครับ ไม่มีอะไรมาก ดูตัวอย่างประกอบแล้วกัน
He’s been working in the garden since 8 o’clock.
เขาทำงานในสวนตั้งแต่ 8 โมงเช้า
8 โมงเช้าเริ่มทำงาน (เส้นทึบสีขาว) เก้าโมงครึ่งแล้ว เพื่อนๆ พักกินน้ำ แต่เขายังทำต่อ ขยันขันแข็งดีจัง ตอนนี้เวลา 10.00 (ลูกศรสีขาว)  เขายังทำต่อ   และเขาคงทำต่อจนถึงเที่ยงเลยมั้ง (สุดเส้นสีเหลือง) แหมขยันจริงๆคนนี้
เหตุการณ์แบบนี้แหละที่เรียกว่าทำแบบต่อเนื่องไม่หยุดพัก หรือจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนก็คงจะป็นนักวิ่งมาราธอน หรือนักปั่นนั้นแหละ วิ่งกับปั่นแบบไม่หยุดกันจริงๆ
สรุปว่าถ้านักเรียนต้องการบอกกล่าวเล่าขาน เหตุการณ์ที่เริ่มตั้งแต่อดีต และดำเนินมาจาถึงปัจจุบัน(อย่างต่อเนื่อง) และคาดว่าจะดำเนินต่อไปในอนาคต   ให้ใช้โครงสร้าง
    ประธาน +have, has + been+กริยาช่องที่ 1 เติม ing (สู้ๆๆเฮ้)
เนื่องจากว่าหลักการใช้เหมือนกับ Present Perfect Tens ทุกประการ จึงไม่ขออธิบายมากนะครับ ขอยกตัวอย่างสักเล็กน้อยก็คงเพียงพอนะครับ
ประโยคบอกเล่า
I’ve been walking for two hours. ผมเดิน (ไม่พักเลย) เป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว
You’ve been watching TV since 9 o’clock. คุณดูทีวี (ไม่ทำอย่างอื่นเลย) ตั้งแต่ 9 โมงเช้า (นี่มันเที่ยงแล้ว)
She’s been dancing for 3 hours. หล่อนเต้นรำเป็นเวลา 3 ชั่วโมงรวด (แบบว่าหางเครื่องน้อย ต้องเต้นตลอด)
He’s been swimming for 30 minutes. เขาว่ายน้ำเป็นเวลา 30 นาทีแล้ว (พักไม่ได้ เดี๋ยวจม)
ประโยคปฏิเสธ
I haven’t  been walking for two hours. ผมไม่ได้เดินเป็นเวลาสองชั่วโมงรวดนะ (เหนื่อยผมก็พัก)
They haven’t been watching TV since 9 o’clock. พวกเขาไมได้ดูทีวี (ไม่ทำอย่างอื่นเลย) ตั้งแต่ 9 โมงเช้านะ (ดุเมื่อกี้เอง)
She’s not been dancing for 3 hours. หล่อนไม้ได้เต้นรำเป็นเวลา 3 ชั่วโมงรวด (มีตัวเปลี่ยนเยอะ)
He‘s not been swimming for 30 minutes. เขาไม่ได้ว่ายน้ำเป็นเวลา 30 นาทีรวดหรอก (ว่ายถึงฝั่งโน้นก็พักเอาแรงก่อน)
ประโยคคำถาม
What have you been doing for two hours. ทำอะไรอยู่ตังสองชั่วโมงเธอ (ไม่เห็นออกจากบ้านเลย)
I’ve been reading books. ฉันอ่านหนังสือ
How long have you been waiting for me? คุณคอยผมนานแค่ไหน
I’ve been waiting for you for 3 hours. ฉันคอยคุณ 3 ชั่วโมง (นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนเลย)
Has a boy been playing games for 4 hours? เด็กชายเล่นเกม 4 ชั่วโมงรวดเลยเหรอ
Yes, he’s been playing games for 4 hours. ใช่แล้ว เขาเล่น 4 ชั่วโมงรวดเลย


ที่มา



  golden rule




...a large crowd was following Jesus and so he climbed to the top of a hill so every one could see him. He sat down on a rock, and all the people sat down on the grass around him. And then Jesus began to tell them all about God (after all, he should know, since he is God’s own son!).
“If you were a mom or a dad, and one of your children asked you for something for breakfast, would you give them a snake? Or a bowl full of spiders? No! You know better than that! And you know hardly anything about being a parent.
“Just think then. Your Father in heaven knows everything about being a good parent. When you ask him for something, will He give you something bad? Would He give you a bowl of spiders? No way! He will give you only what is good.
“Don’t you see? You already know what is good and what is bad. So always do for other people what you would like them to do for you. You know that that is good. Be good to others, just like you want them to be good to you. That is what all the laws in all the world are really all about.”




...Jesus was teaching his disciples and he said to them, “Now I am going to tell you something that is hard to do.
“Love your enemies.
“Even if they hate you, and do mean things to you, love them back. If someone pulls your hair, don’t pull theirs back. Do something nice for them instead. If someone takes something of yours, don’t get all mad and try to grab it back. Instead, let them have it, and be happy for them, just like you would be happy if they let you have something of theirs.
“That’s hard! But believe me, if everyone did this, it would change the world!
“Do for others just what you want them to do for you. If you really do that, you may just find that your enemy will become your friend.”
You’ll find these two stories in your Bible. The first is from Matthew 7:9-12, and the second is in Luke 6:27-31. You can look them up and read them there yourself.



ที่มา 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น